Category ข่าววันนี้

หญิงไทยคนแรก รูปบนซองช็อกโกแลต ป้าติ๋ม
รู้จัก "ป้าติ๋ม" วัย 73 ปี หญิงไทยคนแรกที่มีรูปบนซองช็อกโกแลตแบรนด์ดัง

“ป้าติ๋ม” เจ้าของสถานสงเคราะห์สัตว์ บ้านนางฟ้าของสัตว์จร หญิงไทยคนแรก ที่มีรูปบนซองช็อกโกแลต Hershey’s ในแคมเปญ สตรีที่ช่วยเหลือสังคม เผยที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะเหตุว่าความเมตตาสงสาร รวมทั้ง เมตตาต่อสุนัข

วันที่ 3 ก.พ. 2566 เรียกว่ากลายเป็นเรื่องฮือฮา ที่ถูกกล่าวถึงกันมาสักพัก สำหรับนางกวิพร วินิจเถาปฐม หรือป้าติ๋ม อายุ 73 ปี เจ้าของสถานสงเคราะห์ สัตว์บ้านนางฟ้าของสัตว์จร หญิงไทยคนแรก มีภาพขึ้น บนซองช็อกโกแลต แบรนด์ระดับโลก อย่าง Hershey’s ในแคมเปญ สนับสนุนพลังสตรี

ถัดมา นักข่าวลงพื้นที่ ไปยังบ้านเลขที่ 342 ม.9 ตำบลบ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี โดยได้พบป้าติ๋ม และก็ นายอนันต์ธรณ์ วินิจเถาปฐม หรือเทป ซึ่งเป็นลูกชาย ที่กำลังเตรียมอาหาร รวมทั้ง หุงข้าวไว้ให้สุนัข ที่เลี้ยงไว้ในบ้านกว่า 70 ตัว แล้วก็ สุนัขจรจัด ตามถนน ใน อ.แก่งคอย

ป้าติ๋ม
ป้าติ๋ม เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจ ที่ได้ร่วมแคมเปญของ Hershey’s

ส่วนตัวก็ไม่คาดคิด ว่าการปฏิบัติของตัวเอง จะมีคนสนใจ รวมทั้ง นึกถึง ซึ่งทีแรกลูกชายของตัวเอง ได้มาบอกว่า มีช็อกโกแลต Hershey’s จะเอาแม่ไปลงในซอง ของช็อกโกแลต ตนเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ทราบว่า ที่เลือกไปลงที่ซองช็อกโกแลต แล้วจะเป็นยังไง ตนเองก็มีความคิดว่า ไม่ใช่ดารา จะไปช่วยยอดขายเขาได้เช่นไร

จากนั้นช่วงวันที่ 26 เดือนมกราคม 2566 ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ลูกชายได้โทร.มาบอกว่า ซองช็อกโกแลต มีรูปแม่ลงไปแล้วนะ ก่อนจะเอามาดู ก็ยังไม่รู้สึกอะไร จนถึงมีเพื่อนส่งไลน์มาให้ดูว่า “ฮือฮาหญิงไทย” แล้วมีการเอาไปลงในยูทูบด้วย ตนก็งง แต่ว่ามีความรู้สึกว่าดีเหมือนกัน จะได้มีคนเข้าใจ และก็รับรู้ ในสิ่งที่เราเองทำ นั่นคือการดูแลสุนัข

ตนทำไปทั้งหมด เนื่องจากการที่มีเมตตา และก็ สงสาร ถามว่าดีใจไหม ที่เฮอร์ชี่เอารูปไปลง ก็มีความคิดว่าดี ในแง่ที่ว่าเขาจะได้ช่วยในด้านการประชาสัมพันธ์ ก็เลยมีความรู้สึกว่า

ตัวเองคงจะได้รับความช่วยเหลือ จากสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าอยู่ด้วยความลำบาก มีค่าใช้จ่ายอยู่ทุกๆวัน ทำคนเดียวก็ไม่ไหว เพราะ สุนัขมันเยอะ

ก็จำเป็นจะต้องจ้างแรงงานเข้ามาช่วย ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดือนละเกือบล้านบาท เพราะเหตุว่าเรารับหมามาแล้ว จะทิ้ง ก็ไม่ได้

โชคดีที่ยังได้รับพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระราชทานค่าอาหารสุนัขทุกเดือน เดือนละ 100,000 บาท โดยได้รับพระราชทานมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 และก็ ผู้แทนพระองค์มาติดตามดู รวมทั้ง ให้รถนำอาหารมาส่ง ให้ทุกเดือน แต่ก็ยังไม่พอ ที่จะเลี้ยงดู สุนัข เหตุเพราะอาหารสุนัข ที่ใช้เลี้ยงต่อวัน วันละ 29 กระสอบ จากจำนวนสุนัข 1,200-1,300 ตัว รวมทั้ง แมวอีก 600 ตัว ล้วนเป็นสุนัข ที่เจ้าของทิ้งไว้ทั้งนั้น

ตัวเองช่วยหมามา ตั้งแต่ธันวาคม ปี 2546 เงินที่เอามาเลี้ยง ก็เป็นเงินที่ตนเองทำธุรกิจ เกี่ยวกับการทำขนส่ง คอนกรีตผสมเสร็จ มีรถโม่ปูน วิ่งรับส่งอยู่ 280 คัน แต่เดี๋ยวนี้ขายไปหมด เหลืออยู่ไม่ถึง 10 คัน และก็ ยังประกาศขายบ้าน ที่จังหวัดสระบุรี รวมถึง ที่ดิน ในจังหวัดชลบุรี อีกด้วย

เพื่อนำเงินมาดูแลสุนัข ให้มันมีชีวิตรอดไปวัน ๆ ตอนนี้ก็อยากจะหาคนมาซื้อที่ ที่บ้านของตน จะได้มีเงินมาเลี้ยงหมา ผู้ที่ประสงค์ จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล ดูแลสัตว์จรจัด สามารถติดต่อได้ที่เพจ บ้านนางฟ้าของสัตว์จร

ป้าติ๋ม รูปบนซองช็อกโกแลต Hershey's
ด้านนายอนันต์ธรณ์ ลูกชาย เล่าว่า ทางช็อกโกแลตเฮอร์ชี่ ได้โทร. เข้ามาหาตน

เมื่อประมาณ เดือนกันยายน หรือตุลาคมของปีที่ผ่านมา บอกว่าสนใจ ที่จะทำแคมเปญ โดยมีแม่ของตัวเอง มาเป็นตัวแทนสตรี ที่ช่วยเหลือสังคม โดยจะมีการนำภาพของแม่ มาลงในหีบห่อของช็อกโกแลต

ซึ่งทางเฮอร์ชี่ ได้ติดต่อเข้ามาเอง โดยที่ตนไม่ได้ขอเข้าไป ในส่วนด้านค่าจ้าง ค่าโฆษณา ทางเรามิได้รับใด ๆ เลย เพราะการที่เขาเอาภาพ ของแม่ ไปลงในซอง ช็อกโกแลต แบรนด์ระดับโลก

มันช่วยทำให้ พวกเราเป็นที่รู้จัก และก็ ช่วยให้คนได้รู้จัก เผื่อจะมาช่วยเหลือทำบุญ กับหมาแมวจรจัด ของแม่ ที่มีอยู่เกือบ 2,000 ตัว ด้วยเหตุว่า ภาระหน้าที่ค่าใช้จ่ายที่มหาศาล

โดยบนซองช็อกโกแลต จะมีคิวอาร์โค้ด เพื่อสแกนไปดูข้อมูล ของเพจได้ แต่ว่าในขณะนี้ ยังไม่สามารถทำได้ คงต้องรอ ประมาณ ปลายเดือนก.พ. หรือมีนาคม

อย่างไรก็แล้วแต่เบื้องต้น สามารถดูข้อมูล ได้ทางเว็บของเฮอร์ชี่ได้ ในนั้นจะมีข้อมูล ของแม่ เกี่ยวกับ “บ้านนางฟ้าของสัตว์จร” และ ข้อมูลของบุคคลอื่นที่ได้รับเลือก คาดจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันสตรีโลก ตอนมีนาคม.

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
ชี้แจงกล้องวงจรปิด "บุรีรัมย์" เเถลงขอโทษ, ส.บอล ประชุมออกบทลงโทษสั่งถอดทันที

ดราม่า กล้องวงจรปิดห้องทีมเยือน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แถลงรับผิดระเบียบการจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการไทยลีก พร้อมคำอธิบาย

ดราม่าบุรีรัมย์ ติดกล้องวงจรปิดในห้องแต่งตัว ของทีมเยือน ที่สนามช้างอารีน่า ของบุรีรัมย์ยูไนเต็ด จนกระทั่งเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมตามมา ซึ่งมองในมุมที่ว่า จะเป็นการสร้างการได้เปรียบให้ทางฝั่งเจ้าบ้าน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และก็ การติดวงจรปิดยังเป็นการผิดกฎของการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก อีกด้วย ซึ่งทางทัพปราสาทสายฟ้า ก็ได้ออกมารับผิด พร้อมมีคำชี้แจงแล้ว

จากกรณีที่กลายเป็นข่าวใหญ่ ในวงการลูกหนังไทย เมื่อทาง ชลบุรี เอฟซี ได้ออกมาเผยว่าข้างในห้องแต่งตัว ของทีมเยือนที่สนาม ช้าง อารีนา รังเหย้าของ บุรีรัมย์ยูไนเต็ด มีการติดกล้องวงจรปิด (CCTV) ซึ่งทางคณะทำงานได้ใช้เทปกาวปิดทับ เนื่องจากว่าเกรงว่า จะถูกบันทึกภาพการวางแผน แล้วก็ พูดคุยในห้องแต่งตัว

ชี้แจงกล้องวงจรปิด บุรีรัมย์
ปัจจุบัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาแจกแจง แล้วก็ ขอโทษ

รวมทั้ง ได้นำกล้องในห้องพักนักกีฬา ทีมเยือนออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ตามที่ได้มีข้อมูลปรากฏทางสื่อมวลชน ว่าสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอล รายการไทยลีก ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ในห้องแต่งตัวนักกีฬา ซึ่งผิดระเบียบการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก นั้น”

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอเรียนชี้แจงว่า สนาม ช้าง อารีนา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน ของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีการติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ครอบคลุมทุกพื้นที่ของสนาม และบริเวณภายนอกสนาม จำนวนทั้งสิ้น 156 ตัว”

“ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระบบรักษาความปลอดภัย เนื่องจากสนามช้างอารีนา เป็นพื้นที่ที่เปิดให้นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไปเข้าชม เพื่อเป็นการทัศนศึกษา และร่วมกิจกรรม “Stadium Tour” โดยเฉพาะห้องแต่งตัวนักกีฬาทีมเหย้า และ ทีมเยือน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจ และมีผู้เข้าชมมากที่สุด จึงจำเป็นต้องติดตั้งกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด และ มีการบันทึกภาพไว้ทุกวัน เพื่อการรักษาความปลอดภัยเป็นสำคัญ ภาพที่บันทึกไว้ ไม่ได้นำมาใช้ เป็นข้อมูล ที่ทำให้เกิดการได้เปรียบ ในการแข่งขันแต่อย่างใด”

“สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขอยอมรับว่า ได้กระทำผิดระเบียบ การจัดการแข่งขันฟุตบอลรายการไทยลีก และ จะถอดกล้องบันทึกภาพระบบวงจรปิด ออกจากห้องแต่งตัว นักกีฬาทีมเยือน ในวันจัดการแข่งขัน และ ปฏิบัติตามระเบียบการจัดการแข่งขันของ บริษัท ไทยลีก จำกัด อย่างเคร่งครัดต่อไป”

ด้าน คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ได้มีการประชุมคณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ครั้งที่ 6/2566 และก็มีมติเอกฉันท์ ว่าการทำของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่งกีฬาฟุตบอลลีกอาชีพรายการไทยลีก 1 บทที่ 4 ข้อ 21.7 (หน้า18)

ระเบียบว่าด้วยการลงโทษวินัย มารยาท ที่เข้าข่ายความผิด ข้อ 5.3.19 ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่งขัน ในแต่ละรายการแข่งขัน มีโทษดังต่อไปนี้

– ครั้งแรก เตือนเป็นลายลักษณ์อักษร และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จ
– ครั้งที่ 2 หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ในครั้งแรก ให้ปรับเงิน 10,000 บาท และกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จใหม่
– ครั้งต่อๆ ไป ปรับเงินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนกว่าจะดำเนินแก้ไขแล้วเสร็จ

กล้องวงจรปิด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท พิจารณาความประพฤติปฏิบัติของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีความผิดตามระเบียบ

ว่าด้วยการลงโทษฯ บทที่ 3 หมวดที่ 2 ข้อ 5.3.19 โดยข้อผิดพลาดครั้งแรก เตือนเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งระบุช่วงเวลาดำเนินการแก้ไข โดยจำเป็นต้องไม่มีกล้องวงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัว ในห้องแต่งตัวนักกีฬาฟุตบอล ในห้องของเจ้าหน้าที่จัดการแข่ง แล้วก็ ในเขตแนวทางเฉพาะส่วน ที่เป็นที่นั่งนักกีฬาบอลสำรอง ตามระเบียบข้อบังคับ ว่าด้วยการจัดการแข่งดังกล่าวข้างต้น ในวันที่ใช้สนามกีฬาดังกล่าว เป็นสถานที่จัดการแข่งขันในฐานะทีมเหย้าทุกนัดการแข่งขันชิงชัย

ซึ่งหัวข้อนี้ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ได้ออกมาเผยว่า “เราได้แจ้งกับผู้ควบคุมการแข่งขัน ทราบว่ามีกล้องวงจรปิด ติดอยู่ในห้องแต่งตัวทีมเยือน ซึ่งก็อยู่ที่ผู้ควบคุมการแข่งขันว่าจะเขียนรายงานส่งไปหรือไม่ การติดกล้องในห้องทีมเยือนคู่แข่ง เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม”

ล่าสุด ธีราทร บุญมาทัน ตัวรุกของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาอธิบาย ถึงเรื่องดังกล่าวผ่าน THEERATHON5 OFFICIAL ว่า “กล้องวงจรปิดในห้อง ขอยืนยันด้วยการเป็นนักเตะทีมชาติไทย ไม่เคยมีคลิปการวางแผนของห้องนักเตะทีมเยือนเอามาวิเคราะห์เลยครับ”

“มีแต่ทีมงานสเกาท์ของทีมที่คาดการณ์ว่าใครจะลง และมาดูรายชื่อก่อนแข่งอีกที ว่าใครจะลงบ้างครับ” ดาวเตะทีมชาติไทย การันตีหนักแน่น ถึงประเด็นที่กำลังดราม่าอยู่ขณะนี้

สำหรับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ยูไนเต็ด ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างดียิ่ง เดินหน้าเก็บชัยอย่างต่อเนื่อง ยึดจ่าฝูงลีกด้วยผลงานชนะ 14 เสมอ 3 และ ยังไม่เคยแพ้ให้กับใคร ในฤดูกาลนี้

สู่ขวัญ บูลกุล
"สู่ขวัญ บูลกุล" ในวัย 50 รู้สุขรู้ทุกข์ ออกแบบการจากลาของตัวเองไว้แล้ว ไม่อยากกลับมาเกิดอีก

เป็นผู้หญิงต้นแบบของสาวๆคนจำนวนไม่น้อยในยุคนี้ สำหรับ “สู่ขวัญ บูลกุล” ที่ปีนี้ย่างเข้าเลข 5 แล้ว สู่ขวัญได้มาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ทั้งสุข แล้วก็ ทุกข์ รวมทั้งการผ่านวาระของการจากลา ที่เป็นตอนๆที่ทุกข์ที่สุดในชีวิต จน ไม่คิดอยากจะเกิดมาอีกแล้ว

ชอบพลังงานดี ๆ ในวัยนี้?

“ใช่ เรารู้สึกว่า ยิ่งเราอายุมากเพิ่มขึ้น เรายิ่งชอบตัวเองมากขึ้น

แต่ก่อนคำว่า รักตัวเอง เราไม่เก็ตเลย มันยังไง แปลว่าอะไร ฉันจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเหรอ สุข ทุกข์ ที่มันผ่านมาในชีวิตเรา ทำความเข้าใจกับมัน ตอนทุกข์ ก็ทุกข์ ตอนสุข ก็สุข แต่มันทำให้เราเข้าใจชีวิต และก็ รู้จักชีวิต

จนกระทั่งมาเป็นวันนี้ เราไม่ได้เพอร์เฟกต์ และ ไม่ได้มีทุกอย่าง แต่เราก็เดิน ก้าว ข้ามผ่านทุกอย่างมาได้ บางทีก็ไปได้อย่างเร็ว บางทีก็ไปได้ช้า บางทีก็จำต้องลงไปพักก่อน ลุกไม่ไหว แต่ในที่สุดเราก็ผ่านหลายอย่างมาแล้ว

จะเรียกว่าภูมิใจก็ได้ จะเรียกว่า เรารู้จะชีวิตก็ได้ พวกเราไม่ค่อยกลัว ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเชื่อว่ามันจะผ่านไปได้ ทั้งหมดจะเกิดเรื่องราวในชีวิตที่สุดท้าย พวกเราจะทราบว่าที่มาถึงวันนี้ เป็นเนื่องจากว่าตัวเรา

ด้วยเหตุว่าการเอ๋ยถึงชีวิตมันไม่มีใครช่วยกันได้นะ คุณต้องเดินไปด้วยตัวเอง ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค มีคนยื่นกำลังใจได้ ให้คำปรึกษาได้ ให้ความรักได้ แต่คนที่ในที่สุดจำเป็นต้องยืนขึ้น และก็เดินไปเองให้ได้คือ เรา”

จริง ๆ แล้วชีวิตมนุษย์ มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่อยู่กับสิ่งที่พวกเรามีอยู่?

“มันบางทีก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี ที่สุด ที่พวกเราทำเป็นก็ได้ แต่เรามานะที่จะคิดทำอะไรให้มันยากไปอีก มันจำเป็นต้องค้นหากระบวนการ หรือยังไง แต่สุดท้าย มันก็คืออยู่กับโมเมนต์นั้น ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะ สุข หรือ ทุกข์ มันจะผ่านไปทุกวินาที อันนั้นล่ะ คือดีที่สุดแล้ว ที่เราจะทำเป็น”

คำสั่งเสียสู่ขวัญ บูลกุล

“สู่ขวัญ บูลกุล” เคยบอกไว้ว่า อีก 5 ปีจะออกมาจากแวดวง ในตอนนี้ยังเหลืออีก 1 ปี แต่ สู่ขวัญ ก็ไม่เชิงว่า อยู่ในแวดวง?

“(หัวเราะ) ยังคิดอยู่เสมอเวลา ยังคิดอยู่เรื่อยๆนะ ถ้าหากพวกเราไม่ทำอะไรทุกอย่าง ที่พวกเราทำอยู่ในตอนนี้ จะเป็นยังไง แต่ขวัญพบว่าพวกเรามักจะรักคนที่ทำงานด้วยเสมอเลย มันเลยเป็นอีกหนึ่งเรื่องไป ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ในแวดวง หรืออะไร ขวัญเป็นคนโชคดี เรื่องคน ทุกหน คนที่ขวัญดำเนินงานด้วย จะกลายเป็นเพื่อนในชีวิตจริงไปหมดเลย ด้วยเหตุนี้การออกจากวงการมันยากตรงที่พวกเขาเป็นเพื่อนเรา การที่ไปปฏิบัติงานราวกับการได้ไปพบสหาย ซึ่งเราก็รักเขา และก็ ยังต้องการเจอเขาอยู่ตลอด”

ชีวิตโดยรวมยังมีอะไรที่รู้สึกอยากจะค้นหาอีกไหม?

“ขวัญว่าเราไม่ต้องไปค้นหรอกค่ะ ชีวิตมันใส่อะไรให้พวกเรามาตลอด โดยที่พวกเราไม่ต้องค้นหา ขวัญว่าเรารับมือมันให้ได้ดีกว่า ยิ่งโตขึ้น ประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ชีวิตมันโยงให้เรา มันบางครั้งก็อาจจะซับซ้อนขึ้น ยากขึ้น เพราะเหตุใดที่มันผ่านมาแล้ว มันง่ายไปแล้ว พวกเราก็จะไม่ไปจุดโฟกัสกับมัน เราจะก้าวข้ามผ่านมันไป โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความเพียรพยายามแล้ว พวกเราทราบ พวกเราเข้าใจว่าพวกเราจะผ่านมันไปอย่างไร เราทราบพวกเราเข้าใจว่าเราจะคิดกับเรื่อง ๆ นั้นอย่างไร ชีวิตมันยังเป็นอะไร ที่อเมซิ่งเสมอ

ถึงปีนี้ ขวัญ 50 ปี ขวัญก็ไม่เชื่อว่า ขวัญเข้าใจชีวิตดี เพียงแค่แต่ว่า เราเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอยู่กับ สุข และ ทุกข์ พอใจ ไม่พอใจ เสร็จ รวมทั้ง ผิดหวัง ทราบว่าจะอยู่กับสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งอารมณ์ต่าง ๆ พวกนี้ยังไง แต่พี่ขวัญก็ไม่เชื่อว่า พี่ขวัญเข้าใจชีวิตได้ดี พวกเราเชื่อว่ามันยังมีอีกเยอะแยะ เพียงเมื่อพวกเรามาถึงบางโอกาส ครั้งคราว เมื่อเราจำเป็นที่จะต้องเจออะไร เราก็จะเจอสิ่งนั้นเอง”

4 ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ทุกข์ที่สุด คืออะไร ก้าวผ่านอย่างไร?

“ทุกข์ที่สุดคือ เรื่องเกี่ยวกับการจากไปของคุณพ่อและก็รวมทั้งคุณแม่ ด้วยเหตุว่าภายใน 3 ปี ที่ผ่านมา เสียเรียงกันเลยค่ะ ป๊ะป๋าเสียไปก่อน ป๊ะป๋าเสียปี 2019 แม่เสียปีที่แล้ว ถือเป็นการสูญเสีย ที่มันก็ให้ความจริงของชีวิตจริง ๆ

ด้วยเหตุว่าสำหรับขวัญคุณพ่อสำคัญมากในชีวิต แต่พวกเราก็ทราบมาตลอด เพราะว่าพ่อมิได้กะทันหัน แต่แกป่วยมานับเป็นเวลาหลายปีแล้ว พวกเราก็รู้ว่ามันมีวันใดวันหนึ่งแน่ๆ ก็คุยกับตัวเองว่า สิ่งที่จะมีผลให้พวกเราเสียใจ คือใน เวลาที่พวกเรามีอยู่ เพราะอะไรพวกเราถึงไม่ทำ

ตอนที่ป๋ายังอยู่ ใน วันเวลานั้นในสิ่งแวดล้อมนั้น ใน ความสามารถเวลานี้ทุกอย่างที่พวกเราพอจะทำได้ เราว่าพวกเราได้ทำเต็มที่แล้ว เมื่อป๊ะป๋าจากไป พวกเราก็คงจะเดินต่อไปได้ ซึ่งเราก็เดินต่อไปได้จริง ๆ ค่ะ แต่ความทุกข์ทรมานมันหนักมากมาย ราวกับว่าบางอย่าง ฉีก แล้วหายวับไปเลยจากชีวิต ชีวิตมันต่อรองไม่ได้จริง ๆ เรื่องสัจธรรมชีวิต มันต่อรองไม่ได้จริง ๆ มีบางอย่างฉีกจนขาดหายวับไปกับตาเลย ขนาดว่าพวกเราเตรียมมาอย่างดีแล้ว เราก็ยังมีความรู้สึกว่า มันมีผลกระทบกับเราม๊าก…มากๆๆๆ

พวกเราทำทุกอย่างมาอย่างดี ตระเตรียมใจมาอย่างดี ในช่วงเวลานั้นไม่มีฟูมฟาย จนกระทั่ง ลอยอังคารเสร็จเหมือนทุกอย่างมันถาโถม พวกเรารู้สึกได้เลยว่า นี่คือความทุกข์ใจ ถ้าจะเป็นความทุกข์แบบไหน ที่เรามีความคิดว่าไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว

เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเจอกับความทุกข์ทรมานอย่างนี้อีก เพราะเหตุว่ามันหนัก ยิ่งพวกเรามองเห็นลูกเราเศร้าหมอง จากที่เราทุกข์ใจอยู่แล้ว มันยิ่งเศร้าไปอีกเท่านึง พวกเรายิ่งจะต้องอดทน พี่ขวัญบอกเลยว่า ความอดทนของผู้คนไม่มีข้อจำกัด”

สู่ขวัญ

“สู่ขวัญ” มีคุยกับสามีแล้ว ถ้าหากเธอรั้งฉันไว้ ฉันจะกลับมาหลอก?

“ใช่ ก็คุยกับพี่โชคไว้ พี่โชคเขาจะพูดว่ามิได้สิ หากพวกเรายังได้โอกาส เราจำต้องทำแบบเต็มที่ ทำสุดความสามารถ ที่พวกเราจะทำเป็น มีโอกาสพวกเราจำเป็นต้องสู้ ขวัญก็พูดว่า เดี๋ยวก่อนจ้ะ สู้นี่ดิฉัน ฉันทรมาทรกรรมนะคะ ทุกวันนี้ขวัญดำเนินชีวิตอย่างรู้คุณค่าของชีวิต ที่ผ่านมา ก็มิได้เสียใจกับเรื่องอะไร ก็ทำเต็มที่ ทุกวันนี้ตื่นมารู้สุข รู้ทุกข์ ในแต่ละวัน เมื่อมีความสุขก็รู้คุณค่าของความสุข เมื่อเจอความทุกข์ ก็เข้าใจว่านี่ล่ะ คือการเรียนรู้ของชีวิต ไม่เคยประมาทกับมัน ไม่เคยไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

หากวันนึงเราเป็นอะไรไป แล้วมันต้องเป็นความทรมาทรกรรม ในการรักษา แม่คิดว่าแม่โอเค ปล่อยเถอะ มานะบอกกับลูกไว้ แต่กับสามีดูแบบเสมือนต้องรักษาไหม เราเลยจะต้องใช้มุก ถ้ามายืดแบบทรมาทรกรรมนะ ยืนยัน พี่ล้างหน้าล้างตาอยู่เงยหน้าขึ้นมา พี่เห็นขวัญอยู่ข้างหลังแน่นอน คือข่มขู่ไว้ก่อนเลย พี่จะพบกับขวัญอีกภาคนึงแน่นอน”

แล้วสุขในแต่ละวันของพวกเรา?

“เพียงแค่ทุกเช้า มีกาแฟก็แฮปปี้แล้ว นี่คือสิ่งที่พี่ขวัญมีความสุข ในทุก ๆ เช้าตรู่ของวัน ตื่นเช้ามาทำนั้นทำนี้ ทำครัวเสร็จ ก็นั่งทานกาแฟ นั่งมองต้นไม้ ได้นั่งอยู่ตามลำพังเฉยๆอากาศดี ก็แฮปปี้ แดดดีก็งาม วันนี้ครึ้ม ๆ มันก็เป็นอีกแบบนึง หนาวนี้หนาวอยู่หลายวัน ก็รู้สึกโชคดี ที่ปีนี้หนาวนาน ยังแฮปปี้กับโมเมนต์นั้นดังเดิม ถ้าสู่ขวัญ อาทิตย์หน้าต้องตายแล้วนะ อะไรบ้างที่พวกเรานึกถึง บางครั้งอาจจะนึกถึงตอนที่เรานั่งกินกาแฟเงียบๆของเราผู้เดียว รุ่งอรุณ นั่งมองต้นไม้ แล้วคิดโน่น คิดนี่ไป”

มันเรียบง่ายอย่างมาก?

“ขวัญมีความรู้สึกว่า ขวัญโชคดี ที่ว่าถ้าหากความสุขของขวัญ มันง่ายแค่นี้มันก็กลายเป็นขวัญ มีความสุขได้ทุกวันเลยเนอะ แม้กระทั่งเรามีเรื่องทุกข์อยู่ เราก็จะตื่นมาแล้วมีโมเมนต์นั้น เป็นตอนที่พวกเราได้อยู่เฉยๆแล้วคิด ปล่อยวางกับอะไรบางอย่าง คิดที่จะช่างเถอะ แล้วก็สารภาพกับความไม่ได้ดั่งใจนั้น แม้กระทั่งมันสุข หรือ ทุกข์ มันก็เป็นจังหวะที่ดี เป็นโมเมนต์ที่ดี ทุกวันที่พวกเรามีอยู่ในทุกวัน”

ชิงถล่มก่อน! รัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ
ชิงถล่มก่อน! รัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ รอบใหม่โจมตียูเครน หลังตะวันตกรับปาก มอบรถถังหนักให้เคียฟ

พลเรือนยูเครน จำต้องรุดหาที่กำบัง ในวันพฤหัสบดี (26มกราคม) หลังรัสเซีย รัวยิงขีปนาวุธ และ ส่งโดรนจู่โจมทั้งประเทศรอบใหม่ สังหารอย่างน้อย 11 ราย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ หนึ่งวัน หลังจากเคียฟได้รับคำมั่นสัญญาจากตะวันตก ว่าจะมอบรถถังต่อสู้ สำหรับต่อสู้สกัดการรุกรานของมอสโก

คำแถลงของเยอรมนี และ สหรัฐฯ ที่กล่าวว่า จะมอบรถถังหลายสิบคัน ให้ยูเครน ได้โหมกระพือความเดือดจาก รัสเซีย ซึ่งที่ผ่าน ๆ มามักตอบโต้แนวโน้มความสำเร็จต่าง ๆ นานา ของยูเครน ด้วยการระดมจู่โจมทางอากาศ ที่ทำให้ผู้คนหลายล้านคน จำเป็นต้องอยู่ โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ เหมือนกับเครื่องทำความร้อน และ น้ำ

เครมลินระบุ พวกเขาดูคำสัญญาของตะวันตก เกี่ยวกับการมอบรถถังแก่เคียฟ เป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งเพิ่มขึ้น ว่า สหรัฐฯ และก็ ยุโรป กำลังเข้าเกี่ยวพันโดยตรง ในการศึกที่ไม่จบสิ้นมานาน 11 เดือน คำกล่าวหาที่ทางอเมริกา และ ยุโรปไม่ยอมรับ

ยูเครนเปิดเผยว่า พวกเขาจัดแจงสอยโดรนที่รัสเซียส่งมา ได้หมดทั้ง 24 ลำ เมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึง 15 ลำรอบเมืองหลวง และก็จรวดนำวิถีรัสเซีย 47 ลูก จากทั้งหมด 55 ลูก ซึ่งนิดหน่อยเป็นการยิงออกมาจากเรือบินทิ้งระเบิด ทางยุทธศาสตร์ Tu – 95 ในแถบอาร์กติก ของรัสเซีย

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ระบุในถ้อยแถลง ที่เผยแพร่ทางเทเลแกรม ว่า “เป็นอีกครั้ง ที่ความพยายามของประเทศก่อการร้าย ที่ข่มขู่เราด้วยการยิงขีปนาวุธโจมตีขนานใหญ่ ต้องประสบความพ่ายแพ้ ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งรัสเซียจะประสบความพ่ายแพ้เร็ว ๆ นี้”

รัวยิงขีปนาวุธ

โฆษกหน่วยเร่งด่วนเผยออกมาว่า มีคนตาย 11 ราย และก็ เจ็บ 11 คน ในเหตุโดรน และก็ รัวยิงขีปนาวุธ โจมตี

ซึ่งครอบลุม 11 แว่นแคว้น นอกนั้นแล้ว มันยังก่อความทรุดโทรมแก่อาคารต่าง ๆ 35 แห่ง

เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศ ดังระงมทั่วยูเครน ในช่วงเวลาที่ผู้คน กำลังมุ่งหน้าไปดำเนินการ ส่วนในกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ กลุ่มคนจำต้องหลบเข้าที่กำบัง ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นระยะเวลาหนึ่ง

เดนีส ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครน เผยออกมาว่า สถานีกระแสไฟฟ้าย่อยหลายแห่ง ถูกโจมตี ด้วยที่รัสเซีย ยังคงเดินหน้าเล็งวัตถุประสงค์ถล่มสถานที่ตั้งทางพลังงาน

DTEK บริษัทเอกชนผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุด ของยูเครน บอกว่า ทางบริษัทได้ดำเนินการปิดปฏิบัติการฉุกเฉินล่วงหน้า ก่อนถูกโจมตีในกรุงเคียฟ เหมือนกับพื้นที่โดยรอบ และก็ ในแคว้นโอเดซา กับแคว้นดนิโปรเปตรอฟสก์

โอเดซา เมืองท่าริมทะเลดำ ซึ่งทางยูเนสโก กำหนดให้เป็นแหล่งมรดกโลก ที่กำลังตกอยู่ในภาวการณ์อันตราย ในวันพุธ (25ม.ค.) จรวดนำวิถีของรัสเซีย ก่อความเสื่อมโทรมแก่ที่ตั้งทางพลังงาน ไม่นานก่อนที่ แคทเธอรีน โคลอนนา รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส เดินทางมาเยี่ยม

“สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ การโจมตีระลอกใหม่ ใส่โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือนของยูเครน ไม่ใช่การทำสงคราม แต่มันเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม” เธอกล่าว ทั้งนี้ โคลอนนา มีกำหนด พบปะสนทนากับ ดมีโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการช่วยเหลือ ทางด้านการทหาร

และก็ มนุษยธรรม แล้วก็ ความน่าจะเป็นที่ฝรั่งเศส จะเข้าร่วมกับพันธมิตรนาโต้ สำหรับการจัดหารถถังประจัญบานแก่ยูเครน ซึ่งในกรณีนี้ก็คือรถถังเลคเลิร์ค

รัสเซีย ยิงขีปนาวุธ

ที่ผ่านมา ทั้งมอสโก และเคียฟ ต่างพึ่ง รถถัง T – 72 ในยุคสหภาพโซเวียต และก็คาดหมายว่า จะมีการเปิดตัวโจมตีทางพื้นแผ่นดินรอบใหม่ ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้

ยูเครน ขอร้องรถถังยุคใหม่ หลายร้อยคัน ในความคาดหมายว่า จะใช้พวกมันทำลายแนวป้องกันของรัสเซีย เพื่อทวงคืนดินแดนที่ถูกครอบครอง ทางภาคใต้ รวมทั้ง ภาคทิศตะวันออกของประเทศ “กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ ความรวดเร็ว และปริมาณ ในการมอบรถถังสนับสนุน” เซเลนสกี กล่าวในวิดีโอ เมื่อวันพุธ (25ม.ค.)

สหรัฐฯ เป็นห่วงเกี่ยวกับ การประจำการรถถัง เอ็ม 1 เอบรามส์ ที่ยากต่อการบำรุงรักษา แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ตกลงจะมอบให้ ยูเครน 31 คัน เพื่อหว่านล้อมให้ เยอรมนี สัญญาว่า จะมอบรถถัง ลีโอพาร์ด ที่ผลิตโดยเยอรมนี และ ใช้งานง่ายกว่า แก่เคียฟเช่นกัน

เบื้องต้น เยอรมนี จะมอบรถถัง 14 คัน ให้เคียฟ แล้วก็ อนุญาตให้พันธมิตรยุโรป อื่น ๆ ส่งต่ออีกทอด พร้อมระบุรถถังลีโอพาร์ด น่าจะเข้าสู่ปฏิบัติการได้ในอีก 3 ถึง 4 เดือน ข้างหน้า ส่วน สหราชอาณาจักร ระบุในวันพฤหัสบดี (26มกราคม) คาดหมายว่า รถถังชาเลนเจอร์ 14 คัน น่าจะจัดส่งถึงมือ ยูเครน ภายใน 2 เดือน

ยิ่งกว่านั้นแล้ว แคนาดา เปิดเผยในเวลาต่อมา ว่าจะส่งรถถังลีโอพาร์ด 2 จำนวน 4 คันให้แก่ ยูเครน รวมทั้งกำลังพลของกองทัพ ที่จะช่วยฝึกหัดทหารยูเครน สำหรับใช้งาน ยุทโธปกรณ์ดังกล่าว

แหล่งข่าวด้านการทูต 2 คน เปิดเผยว่า ฝรั่งเศส และก็ อิตาลี ก็กำลังได้ผลสรุป เนื้อหาทางเทคนิค ในการจัดหาระบบป้องกันตัวทางอากาศ SAMP / T แก่ยูเครน แต่ยังไม่เป็นที่แจ่มกระจ่างว่า การตัดสินใจขั้นตอนสุดท้าย จะเกิดขึ้นเร็วขนาดไหน

(ที่มา:รอยเตอร์)

นายกฯ
ส่องด่วน! ทะเบียนรถนายกฯ ลงพื้นที่สุพรรณบุรี เขินเลย เจอชาวบ้านขอหอมแก้ม

นายกฯ ฟิต เสร็จ คณะรัฐมนตรี บินลง ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี รับปัญหาประชาชนไม่มีที่ทำมาหากิน 113 ราย หลังจากร้องทุกข์ไม่คืบ ย้ำ มาจัดการกับปัญหา ยึดตามกม. มิได้หวังให้รักและไม่ได้มาการเมือง เจอราษฎรขอหอมแก้ม แก้เขิน บอกต้องระวังโควิด ให้ถ่ายรูปแทน

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกฯ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อตรวจงาน โดยเมื่อเดินทางถึง นายกฯเดินทางไปยังพื้นที่ใช้ประโยชน์ ณ แปลงจัดสรร ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง ตรวจติดตามพื้นที่ทำกิน กรณีชาวบ้านไร้ที่ทำกิน 113 ราย ร้องทุกข์การขอจัดที่ดินสำหรับทำกินล่าช้า

ต่อจากนั้น นายกฯ พบปะสนทนากับประชาชน ที่ได้รับแบ่งสรรพื้นที่ใช้ประโยชน์ ที่ อบต. วังยาว เมื่อนายกฯ มาถึงได้รับ พวงมาลัย และดอกไม้จากชาวบ้าน โดยระบุว่า ขอบคุณมากทุกคน ตนมีกำลังใจเยอะขึ้น

นายกฯ ลงพื้นที่สุพรรณบุรี
นายกฯ ได้ซักถามปัญหากับประชาชน โดยบอกว่า

นายกรัฐมนตรี ทำ คทช. มาหลายปีแล้ว จัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนถึงรัฐบาลนี้ วันนี้ถือโอกาสมาดูว่ามีปัญหาอะไรอีกบ้าง รับรองว่าตนมาในนามนายกรัฐมนตรี รักทุกคนอยู่แล้ว การันตีต้องทำให้ถูก

เดินระหว่างที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับราษฎร ไมค์ติด ๆ ดับ ๆ จนกระทั่งราษฎรแซวว่า ไม่ต้องใช้ไมค์ นายกรัฐมนตรีไฟแรงอยู่แล้ว

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้มาเพื่อความเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งนายกฯเองมีนโยบายเรื่องความเท่าเทียม และการเข้าถึงโอกาส ดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ว่าทั้งหมดทั้งปวงต้องอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย กฎกติกาจะต้องเห็นด้วยซึ่งกันและกัน

นายกฯ รับปากว่า วิธีการทั้งหมดนั้นอนุมัติให้อยู่แล้ว แต่ต้องตรวจทานเอกสารสิทธิ์ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยได้สั่งให้ดูที่ดิน 2 แปลงใหญ่

ว่าเป็นการเช่าตามกฏหมายไหม ออกมาอย่างนั้นได้ยังไง จะต้องไปตรวจสอบอีกที พร้อมระบุอีกว่า ข้อตกลงสำคัญคือจะต้องตรวจสอบว่า ประชาชน 113 ราย

มีที่ดินทำมาหากินที่อื่นหรือเปล่า ถ้าเกิดมี จะไม่ได้รับการจัดสรร ซึ่งราษฎรรับปากว่า ครับ ส่วนนายกฯแซวว่า พูดเพราะ เป็นทหารเก่าหรือเปล่า

นายกฯ ถามคำถามว่า ใครคนไหนเป็นคนแบ่งสรรให้ ราษฎรว่า “คุณพี” นายกรัฐมนตรี ถามคำถามว่า “คุณพี” เป็นใคร แต่ไม่ว่าใคร ก็ตัดสินมิได้ ด้วยเหตุว่าตนเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าเกิดนายกฯ ตัดสินไม่ได้ ใครก็ทำให้มิได้เหมือนกัน

ทั้งนี้ ประชาชน พูดว่า ผู้ว่าราชการ ไม่ดำเนินการให้ นายกฯ ก็เลยรีบห้ามว่า ไม่ใช่ ศัตรูกัน คนไทยด้วยกันทั้งหมด ตรงนี้ตนได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว

นายกรัฐมนตรี บอกว่า ได้ออกคำสั่งไปว่า ให้ดำเนินการให้ชาวบ้าน 113 ราย นี่ก่อน ซึ่งหากถูกต้อง ควรต้องทำแผนผัง รวมทั้งจับสลากว่าใครอยู่ตรงไหน ซึ่งจากการเอกสาร พบว่า มีราษฎรไม่ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ 59 ราย เหลือแค่ 54 รายที่ถูก พร้อมย้ำว่า ให้ทุกคนจะต้องยอมรับกฎกติกาตรงนี้

นายกฯ ไต่ถามถึงที่ดินแปลงหนึ่งที่มีการไปล้อมรั้วลวดหนาม บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปหรืออย่างไร พร้อมถามว่า โอเค และพอใจหรือเปล่า ตนมาประสานให้ทุกอย่างเดินหน้า ไม่ได้มาทำ เพื่อให้ทุกคนรักตน ถ้าจะรักก็รักอยู่แล้ว แต่ทำวันนี้ คือทำให้ถูกต้อง วันนี้ตนมาประสาน เพื่อดำเนินงานต่อไปให้ได้ ไม่ได้ทำเพื่อเอาใจ วันนี้หากสำเร็จต้องให้เครดิตกับผู้ว่าฯ และคณะทำงาน อย่าไปโกรธกัน โกรธกันมิได้ ด้วยเหตุว่าต้องรักษากฎหมาย

หลักนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ จะต้องเดินคู่กัน หากขัดแย้งกันบ้านเมืองก็เดินต่อไปไม่ได้ จำเป็นต้องสร้างความรักความสามัคคี จะกล่าวว่ารักนายกฯหรือไม่ชอบผู้ว่าฯ ก็ไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายดูแล วันนี้การทำงานก็มีรองนายกฯอยู่หลายคน

ส่องด่วน ทะเบียนรถนายกฯ
ดังนี้ ราษฎร บอกว่า รู้สึกดีใจ ที่ นายกฯ ลงมาดูด้วยตนเอง เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับ ถ้าเกิดนายกฯไม่มา

อาจจะก่อให้ถูกตัดสิทธิ์ได้ ขณะเดียวกันนี้ มีราษฎร โอบกอดนายกฯ และก็ขอถ่ายภาพ บอกว่า นายกรัฐมนตรี หล่อกว่าในทีวี อีกทั้งมีชาวบ้านขอหอมแก้ม แต่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โควิดยังมีอยู่ จึงให้ถ่ายรูปด้วยแค่นั้น

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี พูดว่าปัญหามี แต่จะให้ลงไปทุกพื้นที่อาจไม่ว่าง เพราะว่ามีปัญหา รวมทั้งงานอีกมากที่จำเป็นต้องทำ เพียงแค่ขอให้ยกปัญหาครั้งนี้ เป็นบทเรียน เพื่อจะนำร่องไปแก้ไขที่ดินทำกินในพื้นที่อื่นได้ยังไง

นอกจากนั้น ยังมีตัวแทนประชาชนอีก 6 คน ขอให้นายกฯ จัดการกับปัญหาที่ดินสำหรับเลี้ยงชีพที่ทับซ้อนกับที่ดินของรัฐ มีชาวบ้าน 95 ครอบครัว ที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ ปัญหานี้ชาวบ้านเข้ามาทำกินในพื้นที่ ก่อนปี 2506 ที่ภาครัฐเข้ามาจัดระเบียบ ประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวน ทำให้ไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยนายกรัฐมนตรีขอให้ราษฎรใจเย็น ในขณะนี้กำลังอยู่ในกติกา ที่กำลังแก้อยู่ และก็จะรับเรื่องนี้ไปพิจารณา ซึ่งปัญหานี้เป็นการประกาศพื้นที่ทับซ้อน ภายหลังจัดทำพื้นที่อัตรา 1:4000 วันนี้ตนมาแล้ว ก็จะรับเรื่องไว้ใหม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเดินทางกลับ ว่า วันนี้ตนพูดในนามรัฐบาล มิได้มาหาเสียง หน้าที่ของ นายกฯคือให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทั่วทั้งประเทศ การลงพื้นที่คราวนี้ การนำแนวทางไปใช้กับพื้นที่อื่นด้วย เพราะ คทช. จะจัดระเบียบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งมีปัญหาอยู่มาก ราษฎรมีทั้งเข้าใจและไม่รู้เรื่อง แต่ว่านายกในฐานะประธาน คทช. ก็ได้มารับฟังปัญหาแล้ว แก้ไขเพื่อลดความขัดแย้ง ให้ ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรมอย่างทั่วถึง ซึ่งทั้งสิ้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล

สำหรับในการลงพื้นที่คราวนี้ นายกรัฐมนตรี ใช้รถยนต์ฟอร์จูเนอร์ สีดำ เลขทะเบียน กฉ 4212 ยะลา

กราดยิง
ชุมชนเอเชียช็อก! กราดยิง กลางงานฉลองตรุษจีนในสหรัฐฯ เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย

ชายคนหนึ่ง ก่อเหตุ กราดยิง ผู้คนเสียชีวิต 10 ราย และ เจ็บอย่างน้อย 10 คน ในห้องบอลรูมแห่งหนึ่ง ระหว่างงานฉลองตรุษจีน ในช่วงเวลาค่ำ วันเสาร์ (21 เดือนมกราคม) ใกล้ลอสแองเจลิส สหรัฐฯ ก่อนแอบหนีไปจากจุดเกิดเหตุ

มือปืน อยู่ระหว่างแอบหนี หลังจากก่อเหตุในเมืองมอนเทรีย์ พาร์ค เมืองแคลิฟอร์เนีย และ อ้างอิงจากคำให้การของพวกผู้อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายมั่นใจว่า ผู้ร้ายน่าจะเป็นชายชาวเอเชีย อายุระหว่าง 30 ถึง 50 ปี

“เรา จำเป็นต้องเอาตัวบุคคลรายนี้ ออกจากท้องถนนให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ” โรเบิร์ต ลูนา เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายลอสแองเจลิส เคาน์ตี บอกกับนักข่าว ระหว่างแถลงข่าวใน วันอาทิตย์ (22 ม.ค.) ที่มอนเทรีย์ พาร์ค หนึ่งในชุมชนคนอเมริกันเชื้อสายทวีปเอเชีย ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

ก่อนหน้านี้ ในรุ่งเช้าวันเดียวกัน หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เจาะจง ยังไม่เคยรู้ว่า การจู่โจมครั้งนี้มีแรงจูงใจด้านผิวสีหรือไม่ โดยในเหยื่อคนตาย 10 รายนั้น แบ่งเป็นชาย 5 คน รวมทั้ง หญิง 5 คน แต่ไม่มีการเปิดเผยชื่อ ต่อสาธารณะแต่อย่างใด

กราดยิงกลางงาน

จากเหตุ กราดยิง ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เผยแพร่ภาพผู้ต้องสงสัย ที่บันทึกไว้ได้โดยกล้องวงจรปิด

พบเจอเขาสวมแว่นตา ใส่เสื้อแจ็กเกตสีเข้ม และ หมวกไหมพรมสีแก่ลายขาว แล้วก็ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย บอกว่าพวกเขาเผยแพร่รูปเหล่านี้ ในความบากบั่นระบุตัวตน ของผู้ต้องสงสัย และก็ ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยถูกดูในฐานะ “ติดอาวุธ และ อันตราย”

ช่วงเวลาสายของ วันอาทิตย์ (22 เดือนมกราคม) ห่างจากเมืองทอร์แรนซ์ เมืองแคลิฟอร์เนีย ราว 34 กิโลเมตร ตำรวจใช้ยานยนต์หุ้มห่อเกราะหลายคัน ปิดล้อมรถตู้ผลิตภัณฑ์สีขาวคันหนึ่ง ซึ่งบางทีอาจเกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัย

เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เปิดเผยว่า พบชายคนหนึ่งที่คล้ายกับผู้ต้องสงสัยในทอร์แรนซ์ แล้วก็ มีบุคคลรายหนึ่งอยู่ภายในยานพาหนะดังกล่าว “เราไม่ทราบสภาพของพวกเขา ซึ่งเขาอาจเป็นผู้ต้องสงสัยของเรา หรือไม่? มันก็มีความเป็นไปได้”

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ กำลังสืบสวนว่า เหตุหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในสถานที่เต้นรำ อีกแห่งในเมืองอาลัมบรา ที่อยู่ติดกันราว 20 นาทีต่อมา ในคืน วันเสาร์ (21 เดือนมกราคม) มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมหมู่ที่มอนเทรีย์ พาร์ค หรือเปล่า หลังผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า พบเห็นชายชาวเอเชียคนหนึ่ง ถือปืนเข้าไปในงาน แต่ถูกเพื่อนร่วมงานช่วยกันตะปบตัวไว้ ไม่มีการลั่นไกออกมา และก็ ชายคนนี้แอบหนีไปได้

มีคนได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 10 รายถูกพาตัวส่งโรงพยาบาลท้องถิ่น เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แล้วก็มีอย่างน้อย 1 คน อาการสาหัส ตำรวจมิได้กล่าวมาว่าผู้ร้ายใช้อาวุธปืนจำพวกใดในการก่อเหตุ

เหตุกราดยิงคราวนี้เกิดขึ้นตอน 22.00 น.ตรงเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเมืองไทย 13.00 น.วันอาทิตย์) ในเมืองที่มีการจัดงานฉลองวันตรุษจีน มีการปิดท้องถนนหลายสายในบริเวณใจกลางเมือง เพื่อจัดงานเฉลิมฉลอง ซึ่งยั่วยวนใจผู้มาร่วมงานหลายพันคน มาจากเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย และก็ หลังจากเกิดเหตุ ตำรวจเปิดเผยว่าแผนงานฉลองสำหรับ วันอาทิตย์ (22 มกราคม) ถูกยกเลิก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เชสเตอร์ ชอง ประธานหอการค้าจีน แห่งลอสแองเจลิส ให้ความหมายเมืองที่มีประชากรกร ราว 60,000 คน แห่งนี้ว่า เป็นสถาน ที่สงบเงียบ และสวย ที่ทุก ๆ คนรู้จักกัน และก็ ช่วยเหลือกันและกัน

กราดยิงกลางงานฉลองตรุษจีน

เมืองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากย่านใจกลางลอสแองเจลิส ราว 11 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักกันมานาน หลายทศวรรษ

ว่า เป็นเป้าหมายของคนเข้าเมืองจากจีน โดยในบรรดาประชากรทั้งหมดนั้น มีถึง 65% ที่เป็นชาวเอเชีย และก็ เมืองแห่งนี้ ยังขึ้นชื่อลือชาด้านการมีห้องอาหารจีน และก็ ร้านขายของชำจีนเป็นจำนวนมาก “ผู้คนที่โทร. หาผมเมื่อคืนนี้ พวกเขาหวั่นกลัว ว่ามันอาจเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง” ชอง กล่าว

ตำรวจมิได้เปิดเผยชื่อสมาพันธ์เต้นรำแห่งนี้ แต่พบเจอเจ้าหน้าที่เข้า ๆ ออก ๆ “สตาร์บอลรูม แดนซ์ สตูดิโอ” ซึ่ง ปากทางเข้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้เทปกีดกัน คลับแห่งนี้เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1990 และก็ บนเว็บของพวกเขาเป็นภาพถ่ายงานฉลองเทศกาลวันตรุษจีนปีที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งพบเจอผู้ที่มาร่วมงานยิ้มแย้ม และเต้นรำ ในชุดปาร์ตี้ ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ แล้วก็ ประดับไฟสว่างไสว

ครูราน หนึ่งของสโมสรเต้นรำแห่งนี้ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ เล่าว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคน หรือ สูงอายุ แต่มีเด็กเข้าร่วมในคลาสสอนเต้น สำหรับเยาวชนเช่นเดียวกัน

ใบปลิวที่โพสต์บนเว็บ เป็นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ งานปาร์ตี้ วันตรุษจีน ในคืนวันเสาร์ (21 ม.ค) เริ่มตั้งแต่เวลา 19.30 น. ถึง 00.30 น.

ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับฟังรายงานสรุปเกี่ยวกับเหตุโจมตีครั้งนี้แล้ว และก็ได้สั่งให้ เอฟบีไอ เข้าช่วยเหลือตำรวจท้องถิ่น

เหตุกราดยิงกลับมาเกิดขึ้นหลายครั้งในสหรัฐอเมริกา แล้วก็เหตุโจมตีในมอนเทรีย์ พาร์ค ถือว่าเป็นการกราดยิงฆ่าฟันชีวิตมนุษย์มากที่สุด นับตั้งแต่ พฤษภาคม 2022 โดยคราวนั้นมือปืนฆ่านักเรียน 19 คน และ ครู 2 ราย ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเมืองอูวัลเด รัฐเทกซัส

ส่วนเหตุกราดยิงที่นองเลือดที่สุด ในประวัติศาสตร์ของแคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นในปี 1984 โดยมือปืนลงมือสังหารผู้คนไป 21 ราย ที่ร้านค้าแมคโดนัลด์ สาขาหนึ่งในเมือง ซานอิซิโดร ใกล้กับซานดิเอโก

(ที่มา : รอยเตอร์)

แฉ 4 พี่น้อง
“ดิว อริสรา” แจงออกมาแฉ 4 พี่น้อง บ. เพราะอยากเป็นกระบอกเสียง ไม่ปล่อยผ่านกับเรื่องที่ผิดจนกลายเป็นปกติในสังคม

หลังจากออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก แฉ 4 พี่น้อง บริษัท ทำธุรกิจเว็บพนันใหญ่ พร้อมบอกฝากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สายลับปฏิบัติงานกันด้วย ก็ทำเอา “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” เป็นเป้าสงสัย ว่าที่เจ้าตัวออกมาโพสต์แบบงี้ ไม่กลัวมีปัญหาหรอ แล้วก็ ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยต่างออกมาตั้งข้อคิดเห็นว่า จุดมุ่งหมายในครั้งนี้ของดิว คืออะไรกันแน่ ล่าสุด ดิว อริสรา ได้ออกมาแจกแจง ผ่านเฟซบุ๊กอีกครั้งว่า….

“สวัสดีค่ะ นับเป็นเวลาหลายวันที่ดิวหายไป ไม่ได้มีโอกาสออกมากล่าว หรือ แจกแจงอะไรเนื่องจาก ดิวติดธุระส่วนตัว แล้วก็ มีหลายอย่างที่ต้องจัดแจงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

วันนี้มีเวลา เลยขอ มาชี้แจงข้อสงสัย และก็ ตอบปัญหาบางคำถาม ผ่านทาง Facebook ส่วนตัว เพื่อจะได้ไม่เป็นการก่อกวนคนรอบข้างตัวดิว ให้จะต้องมานั่งตอบคำถามต่าง ๆ พวกนั้น

(ยาวหน่อยนะคะแต่อยากที่จะให้อ่านให้จบ)

ขั้นแรก ดิวต้องขอบพระคุณ สำหรับความห่วงใย ทั้งจากผู้ที่รู้จัก และ ไม่รู้จักสำหรับเพื่อการกระทำครั้งนี้ ที่ดิวออกมาโพสต์แชร์ข้อมูลต่าง ๆ (เป็นความจริง) ขอบพระคุณจากใจมาก ๆ นะคะ แต่ดิวอยากจะกล่าวว่า ดิวคิดทบทวนพิจารณามาอย่างดีแล้ว แล้วก็ ตอนนี้ ดิวมีความสุข ปลอดภัยดี สามีดิว ตัวดิว ครอบครัวพวกเราทำอาชีพปกติ เงินสะอาด และ ไม่มีอะไรจำต้องวิตกกังวล หลบซ่อน หรือ พูดง่าย ๆ คือ บ้านเราไม่มีอะไรที่ผิด ให้ย้อนกลับมาทำร้ายเราได้เลย แล้วก็ ดิวไม่ได้จะไม่กลับประเทศไทยนะคะ กลับแน่นอน ดิวขอขอบคุณทุก ๆ ความประสงค์ดี รวมทั้ง ความห่วงในความปลอดภัยของดิว และก็ ครอบครัวนะคะ

ดิว

จากการกระทำของดิว … ดิว ไม่ได้ต้องการความอวยยศ ชื่นชม ยกยอ และขอชี้แจง กรณี แฉ 4 พี่น้อง ตรงนี้ว่า

ดิวมิได้ทะเลาะกับใคร และ ไม่ได้ต้องการอะไรจากใคร จากในสิ่งที่กล่าว ไปมากกว่า ด้วยวัน และ ในช่วงเวลาที่เห็นสมควร รวมทั้ง ขอเป็นกระบอกเสียง ๆ หนึ่ง ที่ไม่ได้อยากต้องการแค่เป็นผู้ที่ รับทราบ มองเห็น และก็ปลดปล่อยผ่าน กับเรื่องที่ผิด และปล่อยผ่านมันไป กระทั่ง เรื่องที่ผิด กลายเป็น เรื่องปกติ ที่สังคมมองว่าทั่วๆไป กระทั่งมันกลายเป็นคำว่า “ผิด” เป็น “ถูก”

สำหรับเรื่องราวในอดีต ของดิวกับใคร อดีต คือ อดีต ที่ดิวผ่านมา รวมทั้งดิวไม่ขออภัยใคร ไปมากกว่าตนเอง ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึง คิดกันไปไกล

เพราะประเด็นมัน คือเพียงแค่ สิ่งที่ดิวทำ ดิวมีคำถามที่มีในใจตัวเองตลอดมาว่า ถ้าหากพวกเราทราบ เราเห็นว่า อะไรที่มัน ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ผิดที่ผิดทาง แล้วก็เราปล่อยมันไป ปล่อยมันไว้ แล้วเมื่อใดอะไร ๆ ในสังคม และ สิ่งที่เราต้องอยู่ มันจะดียิ่งขึ้นสักที

ดิวเชื่อว่า ในมุมมองผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย บางสิ่งบางอย่าง มันเรื่องที่เปลี่ยนยาก แต่หากไม่เริ่ม มันก็คงจะไม่มีทางแปลง รวมทั้ง เราควรต้องอยู่กันอย่างงี้ จริงเหรอ? ปัญหาคือ ถ้าจริง เด็ก หรือใครก็ตามที่เติบโตมา และก็จะต้องอยู่ในสังคม ที่มีอะไรอย่างนี้ มันจะท้อแท้ขนาดไหน

ถ้าผู้ที่ทำผิด มีชีวิตที่ดีเปิดเผยตนเอง ออกหน้าแบบปกติทั่วไป คนที่ทำดีทำถูก ทำมาหากินซื่อสัตย์สุจริต สู้กับชีวิตไปแต่ละวัน จะท้อใจแค่ไหน เพราะเหตุว่าดีเท่าไร มันก็อาจจะไม่ทัน คนที่ทำผิด รวมทั้ง รวยทางลัด กับสิ่งที่ผิดอยู่ดี

ชีวิตคนเราอาจจะอยู่ที่โอกาส และโอกาสแต่ละคน มีแตกต่างกัน แต่ดิวเชื่อว่าคนทุกคนอยากปฏิบัติดี ให้เหมาะสมที่สุดให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว คนทุกคนเลือกได้… คำถามคือ สำหรับผู้ที่ทำผิด ที่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด รวมทั้ง ยังเลือกทำผิดกันทั้งครอบครัว และ กล้าใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป ในแบบฉบับ “รวยผิดปกติ” มันถูกต้อง ถูกที่ ถูกทางแล้วเหรอ

อย่างไรก็ตาม ดิวเชื่อ และก็มีหวังว่า กระบวนการยุติธรรม แล้วก็ ตำรวจไทย เก่ง มีความสามารถ แล้วก็ความเป็นธรรมมากพอ ที่จะจัดการ ปรับปรุง เปลี่ยนในอะไรที่ผิด ให้อยู่ถูกที่ ดิวเชื่ออย่างนั้นนะ จากข่าวก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่องก่อนหน้านี้ ของประเทศเรา

ดิว แจง

สุดท้าย ดิวอยากบอกทุกคนที่เป็นห่วงดิว ให้เข้าใจดิวว่า

ข้อคิดเห็นในแง่ลบ หรือ โพสต์ต่าง ๆ ที่ออกมาตีกลับจากสิ่งที่ดิวทำ มันไม่ได้ทำให้ดิวรู้สึกอะไร เนื่องจากมันเป็นเรื่องปกติ ที่ เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ดิวเข้าใจสัจธรรมนี้ดี และไม่ขอสนใจ ด้วยเหตุว่าดิว มีจุดยืน และเข้าใจตัวเองมากพอ

ดิวทราบดีว่าสิ่งที่ทำมันค่อนข้างจะเสี่ยง

ด้วยเหตุว่า 4 พี่น้อง มีคนนึงเป็นตำรวจ ที่ใช้เส้นเข้าไป ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพล ตำรวจที่ขับรถสปอร์ตไปปฏิบัติงาน แต่ถ้าหากตัวดิวไม่เสี่ยงทำ ทุกอย่างก็คงไม่มีอะไร ที่เปลี่ยนแปลงแต่กลับแย่ลง

ขอบคุณทุกความสนใจ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ ขอบคุณทุกคน ที่ชื่นชม ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ขอบคุณจริง ๆ

ขอฝากความคาดหวัง และก็เป็นกำลังใจให้กับพี่ ๆ อา ๆ ตำรวจไทย และก็ สายสืบโซเชียล คนเก่งทั้งหลาย ช่วยเหลือกันดำเนินงาน และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้นกับสังคมไทยนะคะ

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ฝากแชร์ด้วยคะ

ปล. สำหรับคนที่มองดู และก็สนใจประเด็น สำหรับการโพสต์ของดิว ให้แง่มุมอื่น ดิวแค่ต้องการจะกล่าวว่า สิ่งที่สนใจ มันไม่ได้ทำให้เกิดผลดีอะไร แต่สิ่งที่ดิวสื่อ ถ้าหากมันได้รับการปรับปรุงเปลี่ยน มันจะเกิดประโยชน์ ต่อสังคมแน่ๆค่ะ”

เปิดไทม์ไลน์ หนุ่มฆ่าชิงทรัพย์
ฆ่าชิงทรัพย์ เปิดไทม์ไลน์ หนุ่มวัย 21 กดแอปฯ เรียกรถขอโชเฟอร์ผู้หญิง ก่อนฆ่ารัดคอชิงทรัพย์

เปิดไทม์ไลน์ คนร้ายเหี้ยมโหด กดแอปฯ เรียกโชเฟอร์เพศหญิง ก่อน ฆ่าชิงทรัพย์ รถยนต์ “แกร็บ ประเทศไทย” ออกแถลงการณ์ ผู้ตายไม่ใช่พาร์ทเนอร์บริษัท

แม่หมู หรือ นางเกศยุคล อายุ 50 ปี หายตัวไป เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2566 เวลาราวๆ 12.48 น. โดยขับรถเก๋ง สีบรอนซ์เงิน ออกไปรับผู้โดยสารย่าน จากแฟลตปลาทอง ตึก315 รังสิต จังหวัดปทุมธานี ไปส่งที่ในพื้นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

จากนั้นทางญาติของแม่หมู ไม่สามารถที่จะติดต่อแม่หมูได้อีก ก็เลยได้ประกาศตามหา สุดท้ายตำรวจสืบหา เจอแม่หมูถูกฆาตกรรมชิงทรัพย์

15 ม.ค. 2566 เวลาประมาณ 18.00 น. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่บริเวณแฟลตปลาทอง รังสิต รู้ชื่อ นายวีระณภูมิ หรือ อู๋ อายุ 21 ปี มีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหา หนีรับราชการทหาร เบื้องต้นผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ ใช้เชือกรัดคอเหยื่อจนตาย!

ล่าสุด วันที่ (16 เดือนมกราคม 2566) เวลาโดยประมาณ 13.30 น. ตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางบัวทอง ได้ติดตามรถเก๋งของกลาง จนพบ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจสอบ พร้อมเก็บลายนิ้วมือแฝง

และก็ หลักฐานต่าๆ ที่เกี่ยวกับคดี ร่วมถึงนำเชือกที่ฆาตกรใช้ก่อเหตุ นำมาจำลองเหตุการณ์ เป็นเวลายาวนานกว่า 2 ชั่วโมง

หลังจำลองเหตุการณ์แล้ว ในเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พร้อม พ.ต.อ.พฤฒ จำรูญศาสตร์ ผกก.สภ.บางบัวทอง แถลงข่าวจับกุมตัว นาย วีรัณัฐภูมิ พร้อมหลักฐาน รถเก๋งสีบรอนซ์เงิน แล้วก็ เชือกที่ใช้ในการก่อเหตุ ที่ สภ.บางบัวทอง

ฆ่าชิงทรัพย์
โดย พล.ต.ต.ไพศาล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี บอกว่า

“พฤติกรรมของนาย วีระณัฐภูมิ หรือผู้ต้องหาได้ให้การว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 66 ได้เรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันหนึ่ง โดยระบุว่าต้องเป็นผู้หญิงเพราะจะให้ไปรับแฟนสาวที่แฟลตปลาทอง รังสิต จังหวัดปทุมธานี ไปส่งที่หมู่บ้านพฤกษ์ลดา แต่เมื่อถึงจุดนัดรับ กลับมีเพียงผู้ต้องหาที่ขึ้นรถโดยไร้ซึ่งแฟนสาวที่อ้างถึง หลังผู้ตายขับรถถึงจุดหมาย ผู้ต้องหาไม่ยอมลงจากรถ ออกอุบายให้ผู้ตายขับรถไปส่งต่อหมู่บ้านเดอะวิลล่า บางบัวทอง

รถจอดลงที่ หมู่บ้านย่านบางบัวทอง วินาทีนั้นผู้ต้องหาจึงใช้เชือกรัดคอผู้ตายจนเสียชีวิตภายในรถ และใช้เชือกที่รัดคอเอามามัดมือมัดขาของผู้ตาย จากนั้นจึงนำศพไปทิ้งในป่าข้างทางภายในซอย วัดท่าเกวียน ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ค้นตัวผู้ตายได้เงินสดมาจำนวน 200 บาท โทรศัพท์ 1 เครื่องนำไปขายได้เงินมา 3,500 บาท ส่วนรถผู้ตาย ผู้ต้องหาได้นำไปขายให้กับคนรู้จักผ่านนายหน้าขายรถ 3 คน ในวันต่อมา (15 ม.ค. 66)

โดยในวันที่นำรถไปขาย ผู้ต้องหาได้ไปรับ น.ส.ปนัดดา ซึ่งเป็นแฟนสาวนั่งรถไปด้วย และได้อ้างกับแฟนสาวว่าเป็นรถของพ่อให้นำไปขาย จุดนัดรับรถคือ ปั๊มน้ำมันย่าน ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งตกลงราคาขายรถกันที่ 40,000 บาท แต่ผู้ต้องหาได้รับเงินเพียง 25,000 บาท ส่วนต่างอีก 15,000 บาท ถูกหักให้กับนายหน้า 3 ราย ”

ส่วน น.ส.ปนัดดา แฟนสาวของผู้ต้องหา จากการสืบสวนเบื้องต้น ยังให้การปฏิเสธ ว่ามีส่วนรู้เห็น หรือร่วมวางแผน กับตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด ต่อจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะทำการสอบสวนสืบสวนขยายผลต่อไป

ฆ่าชิงทรัพย์ รถ

ทางด้าน แกร็บ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ ในกรณีที่มีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับเหตุ ฆ่าชิงทรัพย์ ที่เกิดขึ้น

กับคนขับเพศหญิง ซึ่งให้บริการเรียกรถส่วนตัว ผ่านแอปพลิเคชัน โดยกล่าวว่า

จากกรณีที่มีสื่อมวลชนได้นำเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นกับคนขับเพศหญิงรายหนึ่งซึ่งให้บริการเรียกรถยนต์ส่วนบุคคลผ่านแอปพลิเคชัน โดยระบุว่าเป็นพาร์ทเนอร์ “คนขับแกร็บ” หรือให้บริการ “แกร็บคาร์เลดี้” นั้น แกร็บ ประเทศไทย ขอเรียนชี้แจงว่า ภายหลังการตรวจสอบข้อมูล ทั้งชื่อและนามสกุล รวมถึงทะเบียนรถที่ปรากฏตามรายงานข่าว ไม่พบข้อมูลของผู้เคราะห์ร้ายในฐานข้อมูลพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ โดยบริษัทฯ ได้ประสานงานเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินคดีทันทีตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และขอยืนยันว่า ในฐานะผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งได้รับการรับรองแอปพลิเคชันสำหรับรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จากกรมการขนส่งทางบก แกร็บให้ความสำคัญสูงสุดกับการรักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทั้งผู้ใช้บริการและพาร์ทเนอร์คนขับ

จิ๊บ คีตภัทร เปิดภาพปัจจุบัน
แฟนคลับสุดคิดถึง เปิดภาพปัจจุบัน ‘จิ๊บ คีตภัทร’ นางเอกดัง ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

จัดเป็นอีกหนึ่งนักแสดงสาวสวยที่ผู้คนจำนวนมากตกหลุมรักเธอหนักมาก สำหรับสาว จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์ ที่ฝากผลงานสุดปังเอาไว้เป็นอย่างมาก อาทิ กามเทพลวง, กว่าจะรู้เดียงสา, หมอผีไซเบอร์, เบญจา คีตา ความรัก ฯลฯ ถึงแม้ขณะนี้เธอจะไม่ค่อยส่งผลงานแสดงออกทางจอให้ได้ดูกันเท่าไหร่ แต่บอกเลย แฟนคลับรักเธอ และคิดถึงหนักมาก

งานนี้พวกเราเลยไม่พลาด ชวนทำความรู้จักสาว จิ๊บ เบาๆและพาไปชมรูปสวยๆของสาวจิ๊บกัน ที่บอกเลยว่า คุณงาม หุ่นดี และสะดุดตาไม่เปลี่ยนแปลงเลย โดยสาวจิ๊บเกิด|วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 เป็นผู้แสดงชาวไทยในสังกัดนักแสดงวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 จิ๊บ เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัว อันติมานนท์ เป็นดาราสาวชาวไทย ซึ่งเป็นน้องสาวของดาราชายเป็น จิม เจจินตัย แวนดิว

จิ๊บ มีการแสดงงานเรื่องแรก เป็นต้นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในบท แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกใน ละครหลังข่าว เรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่ง ละครเรื่อง ลูกหลง ทำให้ คีตภัทร เป็นนักแสดงที่รู้จักกัน และเป็นที่รู้จักในยุคนั้น ถัดมา คีตภัทร รับงานละครหลายๆเรื่อง และเป็นการสลับบทบาทเป็นนางร้าย และเป็นดาราหนังที่มีคุณภาพ และมีความสามารถ ด้านการแสดงอีกคับคั่งนั่นเอง

โดยหลังจาก จิ๊บ เบาๆงานในวงการบันเทิงไป จากทางหน้าจอ ก็ทำเอาแฟนคลับนึกถึงหนักมาก พากันมาส่องไอจีของเธอ และบอกรัก บอกคิดถึง รวมทั้งส่องชีวิตสุดปังของเธอ กันอย่างมาก

แฟนคลับสุดคิดถึง จิ๊บ คีตภัทร

​​ทำความรู้จัก สวยเก่งครบสูตร จิ๊บ คีตภัทร อดีตนางเอกดังสมัย 90

เป็นอีกหนึ่งดาราสาวสวย ที่ห่างหายจากวงการบันเทิงไปนานมากๆสำหรับ จิ๊บ คีตภัทรน้องสาวของศิลปินชายหนุ่ม จิม เจจินตัย อันติมานนท์ โดยทั้ง จิ๊บ และ เจจินตัย เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมากๆในยุค 90 แม้คนไหนเคยเห็นละครดังช่อง 7 อย่างเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก หรือ กว่าจะรู้เดียงสา มั่นใจว่าจำเป็นต้องคุ้นตา จิ๊บ คีตภัทรวันนี้ เราจะพามาทำความรู้จักจิ๊บ คีตภัทร กันอีกครั้ง เผื่อผู้ใดที่ยังไม่ทราบ หรือ จำสาวคนนี้มิได้

คีตภัทร อันติมานนท์ ชื่อเล่น จิ๊บ

เกิดเมื่อวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527

เป็นนักแสดงชาวในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

จิ๊บ คีตภัทรเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ

เป็นบุตรสาวคนเล็กของครอบครัวอันติมานนท์

จิ๊บ เป็นนักแสดงสาวชาวไทยซึ่งเป็นน้องสาวของ ผู้แสดงฝ่ายชายเป็น จิม เจจินตัย อันติมานนท์

สำหรับเรื่องของการเข้าวงการบันเทิงของจิ๊บ คีตภัทร นั้น เธอเริ่มเข้าสู่วงการสายบันเทิงไทย เป็นนักแสดงในสังกัดดาราวิดีโอ และสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

และส่งผลงานเรื่องแรกดังเช่นว่า กว่าจะรู้เดียงสา แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ เป็นที่รู้จักในหน้าที่ แว่นทิพย์ ซึ่งเป็นนางเอกในละครหลังข่าวเรื่องแรกเมื่อในปี 2543 และละครเรื่อง เจ้าสัวน้อย และผลงานที่แสดงคู่กับ วี วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ อีกเรื่องหนึ่งละครเรื่อง ลูกหลง ซึ่ง จิ๊บ ส่งผลงานอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คุณเป็นดาราหนังที่รู้จักกัน และมีชื่อในสมัยนั้น และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักคือเรื่อง เบญจา คีตา ความรัก ซึ่ง จิ๊บ รับงานละครหลายๆเรื่องและเป็นการพลิกบทบาทเป็นนางร้ายและเป็นดาราหนังที่มีคุณภาพ และมีความสามารถด้านการแสดงเป็นอย่างมาก

พักหลังๆเธอได้เฟดตัวออกมาจากวงการบันเทิง และยังปฏิบัติงานมีธุรกิจส่วนตัว รวมถึงเธอยังมีธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย และยิ่งไปกว่านี้ จิ๊บ ยังเป็นพาร์ทเนอร์ ร้านอาหารไทย ที่ชื่อ Noi Thai Cuisine Greenlake ที่ Seattle ประเทศอเมริกา อีกด้วย จะต้องพูดว่า สาวคนนี้ ทั้งสวย มากความสามารถ ครบสูตรจริงๆ

ที่สวยเด่นไม่เปลี่ยนแปลง

“จิ๊บคีตภัทร” จ่อฟ้อง! สับเละคนปล่อยข่าว นางเอก จ. กระทบครอบครัว-แฟน

หลังจากที่ผู้ใช้ ติ๊กต๊อก รายหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยใจความว่า “มีข่าวหลุด!! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี แอบไปซื้อหนุ่มนอกวงการกิน แล้วโดนหนุ่มอัดคลิปแบล็กเมล์ เรียกเงิน 4 แสน ล่าสุดมีคลิปหลุดออกมา เร็วๆ นี้เจ้าตัวเตรียมแถลงข่าวแน่นอน”

ต่อมา ก็ได้โพสต์อีกว่า “โดนแล้ว! อดีตนางเอกดังช่องหลายสี ชื่อย่อ จ. เข้าแจ้งความเอาผิดหนุ่มนอกวงการ หลังขายคลิปตนเองที่กำลังมีอะไรกัน ให้กลุ่มลับกลุ่มหนึ่ง ในราคา 4 แสนบาท ซึ่งความยาวคลิปเต็ม 21 นาที เห็นหน้าตัวเองชัดเจน เลยทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าตัวลั่นไม่ยอมความ พร้อมเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”

จนทำให้ชาวเน็ตแอบทายกันไป ต่างๆนานา ว่าอดีตนางเอกจ. ช่องหลากสีคือใคร ซึ่งหนึ่งในนั้นแอบมีคนผุดชื่อขึ้นมา ว่าใช่ “จิ๊บ คีตภัทร อันติมานนท์” ดาราหนังสาวสมัย 90 หรือเปล่า ทำให้วันนี้ (13 ม.ค.) เจ้าตัวจะต้องรีบออกมาอธิบายผ่านไอจี ว่าตัวเองไม่ใช่คนในข่าวอย่างแน่แท้ พร้อมจะดำเนินคดีตามกฎหมาย กับคนที่ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเสียหาย

“ขออนุญาตชี้แจงข่าวที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้นะคะ ว่าไม่ใช่จิ๊บแน่นอนค่ะ จากข่าวที่มีการใช้ชื่อหรือเจตนาใช้ภาพจิ๊บซึ่งทำให้ เกิดความเข้าใจผิดและเสียหายต่อตัวจิ๊บ ครอบครัว และแฟนเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นความจริง ไม่ได้เกิดเรื่องและไม่ได้มีการไปแจ้งความดำเนินคดีใดๆ อย่างในข่าว จิ๊บมาหาครอบครัวที่อเมริกาเป็นเวลา 3 เดือนแล้วค่ะ อยากขอให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวส่วนผู้ที่ทำให้จิ๊บและครอบครัวได้รับความเสียหาย จะขอดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาสิทธิและ ความถูกต้องให้ถึงที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ”

ต้นเรือพลับ
ทร.เผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 เรือหลวงสุโขทัย คือ "ต้นเรือพลับ"

โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผย ผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 จากเรื่องราวเรือหลวงสุโขทัยอับปาง คือ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ เสาร์นี้ตระเตรียมเคลื่อนร่างจาก ฐานทัพเรือกรุงเทพ ไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ณ วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา

พลเรือเอก ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เผยออกมาว่าปัจจุบัน จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง กองทัพเรือยังคงดำรงการค้นหา ผู้สูญหาย อย่างต่อเนื่องต่อไป ผลการปฏิบัติจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการพบผู้สูญหายเพิ่ม

เวลาที่ผลพิสูจน์ เอกลักษณ์บุคคล ผู้เสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยอับปาง ขณะนี้ สามารถยืนยันได้ว่า เป็นร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ต้นเรือเรือหลวงสุโขทัย

ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์
โดยในวันเสาร์ที่ 14 เดือนมกราคม 2566 เวลา 13.30 น. จะมีการเคลื่อนร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์

ออกจาก ฐานทัพเรือกรุงเทพ เขตบางกอกน้อย จังหวัดกรุงเทพ ไปยัง วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา

โดยมี ผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลกองทัพเรือ ในพื้นที่ ร่วมพิธี ในการนี้กองทัพเรือได้จัดกองทหารเกียรติยศ แล้วก็ ขบวนรถเคลื่อนร่างของ ว่าที่ นาวาตรี พลรัตน์ อย่างสมเกียรติ โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดศรีเอี่ยม ในเวลา 17.30 น

สรุปการช่วยเหลือผู้ประสบภัย (วันที่ 12 ม.ค. 2566) เวลา 17.00 น. ยอดกำลังพล 105 นาย รอดชีวิต จำนวน 76 นาย เสียชีวิตรวม 24 นาย สูญหาย 5 นาย สำหรับรายนามกำลังพล ที่เสียชีวิต ซึ่งสามารถเพื่อการันตีตัวบุคคล ได้แล้ว จำนวน 24 นาย

พี่สาว พี่ชาย โพสต์เศร้าเสียใจ หลังจาก กองทัพเรือยืนยัน ร่างที่พบคือ “ต้นเรือพลับ”

พี่สาว พี่ชาย โพสต์โศกเศร้า หลังจาก ทร.เผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ผู้ตายรายที่ 24 รับรองร่างที่เจอเป็น “ต้นเรือพลับ”

จากในกรณีที่ พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยผลพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล คนเสียชีวิตรายที่ 24 จากเหตุเรือหลวงสุโขทัยจม ในตอนนี้สามารถยืนยันได้ว่าคือร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ⁣⁣

โดยในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2566 เวลา 13.30 น. จะมีการเคลื่อนร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ ออกจากฐานทัพเรือจ.กรุงเทพฯ เขตบางกอกน้อย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ไปยัง วัดศรีเอี่ยม เขตบางนา โดยมีผู้บังคับบัญชา ตลอดจนกำลังพลกองทัพเรือในพื้นที่ร่วมพิธี ⁣⁣
⁣⁣
ในการนี้กองทัพเรือได้จัดกองทหารเกียรติยศ รวมทั้ง ขบวนรถเคลื่อนร่างของ ว่าที่นาวาตรี พลรัตน์ อย่างสมเกียรติ โดยจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ วัดศรีเอี่ยม ในเวลา 17.30 น⁣⁣. ดังที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

พี่สาว พี่ชาย ต้นเรือพลับ
ทั้งนี้ พี่สาวของ ต้นเรือพลับ ได้โพสต์ภาพ 3 คนพี่น้อง พร้อมใจความอาลัย ผ่านเฟซบุ๊ก กล่าวว่า

“พี่ไม่คิดเลยว่ารูปนี้ จะเป็นรูปสุดท้ายของเรา 3 คนพี่น้อง คุณยายคะ คุณยายบอกว่าหนูเป็นพี่คนโตให้หนูดูแลน้อง แต่หนูไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้เลย หนูขอโทษนะคะ ตอนนี้คุณยายเจอเจ้าตัวเล็กของเรารึยังคะ ฝากดูแลน้องด้วยนะคะ พลับพูดอยู่เสมอว่าคิดถึงอาหารที่คุณยายทำ

พลับ พี่รักพลับมากนะ หลับให้สบายนะน้องรัก ไม่ต้องห่วงคุณพ่อคุณแม่และกุ๊กกิ๊กนะ พี่กับพี่พีทจะดูแลทุกคนเอง

2565 ใจร้ายเหลือเกิน พรากคนที่เรารักที่สุดในชีวิตไปถึง 2 คน”

ในตอนที่ พี่ชายต้นเรือพลับ ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า “ไม่ใช่ว่าเราทำใจไม่ได้ หรือไม่ยอมรับความจริง แต่จากประสิทธิภาพของการประสานงานกับการสื่อสารในช่วงที่ผ่านมา ไม่มีอะไรทำให้เราเชื่อมั่นได้เลย การที่มีเจ้าหน้าที่โทรมาแจ้งญาติว่าฟันตรง โดยไม่ให้ข้อมูลอื่นๆ หรือมีหลักฐานประกอบเลย ถ้าเป็นคุณ คุณจะเชื่อไหม ตามหลักแล้ว ญาติมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และเข้าถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และตามกระบวนการ เรามีสิทธิ์ที่จะร้องขอการตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อความมั่นใจว่าได้ส่งร่างคืนให้ถูกครอบครัว และอาจจะเป็นการซื้อเวลาให้ญาติมีเวลาทำใจมากขึ้น ผมเป็นหมอ ผมเป็นทหาร ผมรู้อยู่แล้วว่าโอกาสที่เค้าจะรอดหลัง 48-72 ชม. มันแทบจะไม่มีเลย

คนที่บอกว่าทำใจยอมรับเหอะ หลายวันแล้ว ผมไม่รู้หรอกนะว่าเค้าเติบโตมายังไง แต่ครอบครัวของเราเติบโตมาด้วยความรัก การจะต้องสูญเสียใครไปสักคน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ระยะเวลาในการทำใจของแต่ละคน หรือการจัดการกับอารมณ์ของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน ผมเป็นพี่ผมยังปวดใจขนาดนี้ แล้วหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ล่ะครับ ไหนจะน้องสะใภ้ผมอีก แค่ต้องคิดว่าผมจะไม่ได้กอดน้องแล้ว น้องที่ผมอุ้มมาตั้งแต่น้องเกิด ไอ้หมาของผม ผมยังห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้เลย ตัวผมเองก็เตรียมใจมาแล้วประมาณนึง ด้วยหลักการและเหตุผล สมองมันเข้าใจนะครับ แต่หัวใจเองมันก็ยังรับไม่ได้ มองเห็นอะไรก็คิดถึงน้องไปหมด พอคิดถึงแล้วน้ำตาก็ไหล แล้วพ่อแม่ผมล่ะครับ พวกท่านจะเป็นยังไง

ผมขอขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้นะครับ ตอนนี้ผมขอเวลาและขอความเป็นส่วนตัวให้คนในครอบครัวด้วยครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกคนมากๆจริงๆ”

ทั้งนี้ ภายหลังที่เนื้อความดังกล่าว ถูกแชร์ออกไป ทำให้ผู้ที่ติดตามข่าวสารการค้นหา “ต้นเรือพลับ” เข้ามาแสดงความอาลัยจำนวนเยอะมาก.